สมาร์ทโฟนเป็นอุปกรณ์อเนกประสงค์ที่ใช้เพื่อติดต่อสื่อสาร อินเตอร์เน็ต ค้นหาข้อมูลต่างๆ แชท เช็คข่าวสาร อ่านหนังสือ E-book และมากมายสารพัดเกินจะนับได้ ด้วยคุณประโยชน์เหล่านี้เอง ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ก็จะพบคนที่เดินมองแต่มือถือ มาด้วยกันก็มองแต่มือถือราวกับว่าไม่ได้มาด้วยกัน... แถมมองแทบจะตลอดเวลา ไม่ว่าจะนั่งกินข้าว ยืนรอรถ เดินไปที่ต่างๆ ก็จะเห็นภาพเหล่านี้กันจนเป็นเรื่องปกติจนเรียกกันติดปากว่า "สังคมก้มหน้า" 

       รู้หรือไม่ ระหว่างที่เราใช้สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ และอาชีพที่ต้องใช้แสง เช่น การเชื่อมเหล็ก เป็นต้น แต่สิ่งนี้มักพบในสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตมากกว่าอุปกรณ์ชนิดอื่นๆ มันมีบางอย่างแฝงมาด้วย นั่นคือ "แสงสีฟ้า (Blue Light)" เป็นแสงที่ผสมอยู่ในช่วงแสงสีขาวที่ดวงตาของมนุษย์สามารถมองเห็นได้ โดยเป็นแสงที่มีความยาวคลื่น 400-500 นาโนเมตร ซึ่งมีอยู่ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น หลอดไฟฟลูออเรสเซนส์ หรือแม้กระทั่งแสงแดด

       เป็นแสงที่สามารถทะลุเข้าไปถึงจอประสาทตา แล้วทำลายกระจกตา หรือเซลล์จอประสาทตาได้มากกว่าแสงสีอื่น และทำให้เกิดอาการตาแห้ง ตาพร่า ตาล้า และน้ำตาไหล แถมยังทำให้เกิดอาการนอนหลับยากมากขึ้น เพราะแสงสีฟ้าเมื่อได้รับมากเกินไป จะยับยั้งการทำงานเมลาโทนิน (Melatonin) ที่มีผลต่อการนอนหลับ ทำให้ไม่นอน แถมยังทำให้เสี่ยงต่อ "โรคจอประสาทตาเสื่อม (Age-related Macular Degeneration; AMD)" โดยโรคนี้จะมีอาการมีจุดดำบังตรงกลางภาพ ส่งผลให้เห็นภาพตรงกลางไม่ชัด และไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้

       และนอกจากจะมีแสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายแล้ว หากใช้สมาร์ทโฟนไปนานๆ อาจทำให้เกิดอาการ "สายตาสั้นเทียม (Pseudomyopia)" เป็นอาการที่เกิดจากการหดตัวผิดปกติของกล้ามเนื้อเล็กๆ ภายในลูกตา โดยปกติหากเรามองสิ่งใกล้ๆ นานๆ จะทำให้เลนส์ตาโป่งออกส่งผลต่อการมองระยะใกล้ชัด แต่พอเลิกมองใกล้ๆ กล้ามเนื้อส่วนนี้จะคลายตัวอัตโนมัติทำให้มองไกลๆ ได้ชัดดังเดิม แต่อาการสายตาสั้นเทียมจะเกิดขึ้นเมื่อ กล้ามเนื้อส่วนนี้ของดวงตากลับไม่คลายตัว เพราะกล้ามเนื้อหดตัวเกือบตลอดเวลาทำให้มีอาการเสมือนอยู่ในสภาพสายตาสั้น มองไม่ชัด แต่เมื่อใส่แว่นสายตาสั้น กลับมองชัดขึ้น

       แต่อาการนี้ จะคล้ายคลึงกับอาการสายตาสั้นจริง คือ มองไกลไม่ชัด เลยมีความแตกต่างกันที่สายตาสั้นเทียม จะมีอาการมองไม่ชัดค่อนข้างจะทันที เช่น ตามัวมา 1อาทิตย์ และมีอาการร่วมอย่างอื่นด้วย เช่น ปวดตา ปวดหัว คลื่นไส้อาเจียน ยิ่งใช้นานๆ ตาจะมัวมากขึ้น เป็นต้น แต่ในขณะที่สายตาสั้นจริงจะมองไม่ชัดมาเป็นเวลานาน

       ไม่ว่าจะ แสงสีฟ้า สายตาสั้นเทียม ก็ยังไม่พอ มีพวกมาพ่วงด้วยอีกหนึ่ง คือ "ตาขี้เกียจ (Lazy Eye หรือAmblyopia)" เป็นภาวะที่ตานั้นไม่ได้ใช้งานนานๆ มันจะหยุดการทำงานแค่นั้น เช่น ถ้ามีตาข้างหนึ่งดี อีกข้างจะมีสายตาสั้นมากๆ ร่างกายจะใช้เพียงตาข้างที่ดี แล้วไม่ใช้ตาข้างที่สายตาสั้นมากๆ หมายความว่า ตาข้างนั้นจะมองเห็นแค่นับนิ้วได้ ที่สำคัญคือ ไม่ว่าจะใช้การเลสิก หรือแว่นสายตาก็ช่วยไม่ได้ ยกเว้นแก้ไขก่อนอายุ 8ขวบ เพราะควบรีบดูแลเสียแต่เนิ่นๆ ไม่งั้นจะสายเกินแก้

       ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ร้านตัดแว่นต่างๆ พากันมีผู้มาใช้บริการตัดแว่นเพิ่มขึ้น แต่การตัดแว่นสายตาสั้นบางครั้งกลับกลายเป็นการเสริมให้เป็นสายตาสั้นจริงๆ ทั้งที่ความจริงอาจจะเป็นแค่สายตาสั้นเทียมเท่านั้น ควรไปพบแพทย์หรือคลินิกจักษุแพทย์จะดีที่สุด เพราะการแก้อาการสายตาสั้นเทียมนั้นง่ายนิดเดียว เพียงแค่ให้พักสายตา สลับการมองใกล้กับมองไกลๆ บ้าง ลดการใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต หรือกิจวัตรต่างๆ ที่เกี่ยวกับแสงลงบ้างก็พอ และควรทานผักไม้ที่มีสีเหลืองส้มจะช่วยบำรุงสายตาได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยาใดๆแต่ถ้าหากยังคงเป็นสายตาสั้นเทียมบ่อยครั้ง และนานเกินไป มันจะพัฒนาเป็นสายตาสั้นจริง ได้ทันทีเช่นกัน

ขอขอบคุณภาพจาก : www.focusshield.com