โรคภัยไข้เจ็บเป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็ไม่อยากให้เกิด จะทั้งภายในร่างกาย หรือภายนอก ก็ยังอยากให้ปกติ หรืออ่อนเยาว์เหมือนวันวานที่เราเคยเป็นอยู่เสมอ แต่การรักษาแต่ละโรคนั้นมีวิธีแตกต่างกันออกไป บางโรคอาจจะแค่ทานยาพักผ่อนเดี๋ยวก็หาย บางโรคก็ต้องพบแพทย์อยู่บ่อยครั้ง แล้วแต่อาการ ถึงกระนั้นเราก็อยากจะหายจากโรคภัย ทว่าหากเจอกับสถานการณ์ที่ว่ารักษาทุกหนทางแล้วยังไม่มีวี่แววดีขึ้น คนเราก็อาจจะเลือกใช้วิธีใหม่ๆ แม้จะมีความเป็นไปได้น้อยนิดก็ตาม ซึ่งหนึ่งในวิธีการรักษาแบบทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับปัจจุบันนี้ ก็คือการใช้สเต็มเซลล์ซึ่งต้องทำภายใต้การควบคุมดูแลของแพทย์ผู้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง
“สเต็มเซลล์” เป็นเซลล์ต้นกำเนิด หรือเซลล์ชนิดพิเศษที่มาจากร่างกายโดยตรง ซึ่งสามารถแบ่งตัวได้ไม่จำกัด แถมยังสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นเซลล์ต่างๆ ได้เกือบทั้งร่างกาย เพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ หรือรักษาอาการโรคภัยต่างๆ เช่น เวลาเราขัดผิวก็จะมีขี้ไคลออกมา ซึ่งคือผิวหนังเก่าที่ลอกออกไป สเต็มเซลล์จะกลายสภาพตนเองเป็นเซลล์ผิวหนังเพื่อทดแทนผิวหนังส่วนที่ลอกออกไปได้ หรือเมื่อเป็นแผลเลือดออก เมื่อใช้สเต็มเซลล์จะทำให้แผลหายเร็วขึ้น จากเป็นเดือน อาจเหลือเพียงอาทิตย์เดียว โดยการนำสเต็มเซลล์มาใช้นี้จะต้องมีอาศัยเครื่องมือเฉพาะทางที่มีประสิทธิภาพ เพราะสเต็มเซลล์ต้องใช้เครื่องมือพิเศษในการเก็บออกมาจากร่างกาย อีกทั้งต้องมีการดูแลการเพาะเลี้ยงอย่างระมัดระวังและเข้มงวดเพราะสเต็มเซลล์อาจกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้
โรคที่สามารถใช้สเต็มเซลล์ทำการรักษาได้นั้นมีมากมาย ส่วนใหญ่เป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมทางร่างกาย เช่น ภูมิแพ้ ผมร่วง ผิวเหี่ยวย่น ไม่ใช่โรคที่เกิดจากพันธุกรรม
การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์เพื่อนำไปใช้กับการรักษาส่วนต่างๆ ตามต้องการนั้น เมื่อคัดแยกสเต็มเซลล์ออกมาจากร่างกายได้แล้ว สามารถนำเซลล์เหล่านั้นมาใช้กับตัวเอง หรือนำเซลล์ของตัวเองไปให้คนอื่น หรือบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดก็ได้ โดยจะต้องผ่านการตรวจความเข้ากันได้ระหว่างผู้รับการรักษาและผู้บริจาคก่อน หากไม่เข้ากันก็จะไม่สามารถทำการฉีดสเต็มเซลล์เข้าสู่ร่างกายผู้รับการรักษาได้ เพราะอาจมีผลข้างเคียงต่อชีวิต แบบเดียวกับกรณีของคุณลาร่า คาซาลอตติ ลูกครึ่งสาวไทย-จีน-อิตาเลียน ซึ่งป่วยเป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาว (ลูคีเมีย) เธอขอรับบริจาคสเต็มเซลล์จากผู้คนทั่วโลก เพื่อจะหาสเต็มเซลล์ที่มีความเข้ากันได้กับตัวเธอ โดยโอกาสพบมีเพียง 1 ใน 25 ล้านคน เท่านั้น ซึ่งหลังจากได้รับบริจาคเซลล์จากคนนับ 20,000 คน ในที่สุดเธอก็ได้ค้นพบเซลล์ที่เข้ากันได้ จนสามารถทำการรักษาได้แล้ว
แหล่งเก็บสเต็มเซลล์จากร่างกายมีมากมาย โดยหลักๆ คือ เก็บจากเลือดในสายสะดือเด็กทารกแรกเกิด, ไขกระดูก, ไขมัน, ฟันน้ำนม และเก็บจากกระแสเลือด แต่วิธีที่เก็บสเต็มเซลล์ดีที่สุดคือการเก็บจากกระแสเลือด เพราะสามารถเก็บได้ในปริมาณมาก เก็บได้ทุกช่วงเวลาของชีวิต และมีความปลอดภัยที่สุด
ปัจจุบันมีสินค้าเกี่ยวกับสเต็มเซลล์ที่มีวางขายอยู่มากมาย ทั้งในรูปแบบครีมบำรุงผิวต่าง ๆ โดยมี “สเต็มเซลล์” จากพืช หรือบริการฉีดสเต็มเซลล์ ซึ่งสเต็มเซลล์ก็คือสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตไม่สามารถอาศัยอยู่ในครีมหรือบรรจุภัณฑ์ที่ไม่มีสภาพเหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของเซลล์ได้ เพราะสเต็มเซลล์ต้องอาศัยหลายปัจจัยที่ทำให้ไม่ตาย ไม่เช่นนั้นเซลล์ก็ไม่ต่างจากน้ำเปล่า เวลานำไปใช้ก็เหมือนทาน้ำเปล่าหรือฉีดน้ำเปล่าที่อาจเป็นพิษร้ายเข้าตัว และที่สำคัญคือสเต็มเซลล์ไม่มีในพืช สำหรับการนำสเต็มเซลล์จากสัตว์มาสู่คนนั้นก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับ เพราะอาจมีผลข้างเคียงต่อร่างกายในระยะยาว และยังมีปัญหาทางด้านศีลธรรมอีกด้วย
เมื่อคิดจะใช้สเต็มเซลล์ในการรักษาบำบัดจึงควรศึกษาให้ดี และปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง เนื่องจากอาจเจอกลุ่มคนที่ไม่หวังดีหลอกเอาเงิน แล้วให้สินค้าหรือบริการลวงโลกก็เป็นได้
ขอขอบคุณภาพจาก www.dasilvainstitute.com