
ตามที่ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 23 ส.ค. โดยมีเจตนา รมณ์ที่ดีในการให้การคุ้มครองแก่ประชาชนผู้บริโภคซึ่งได้รับผลกระทบจากการซื ้อสินค้าและบริการที่ไม่ปลอดภัย และถูกเอาเปรียบจากเจ้าของกิจการที่มุ่งหวังกำไรในการขายทรัพย์สิน เช่น รถยนต์ บ้าน เครื่องมือ อุปกรณ์ อาหาร รวมถึงการขายบริการ เช่น ในรูปการซื้อบริการสมาชิกต่าง ๆ ของสถานที่ออกกำลังกาย แล้วถูกฉ้อโกง ซึ่งเป็นกิจการที่สามารถตั้งมาตรฐานและกำหนดการตรวจสอบได้ง่าย นับเป็นความมุ่งหวังที่ดีในการคุ้มครองประชาชนในส่วนช่องว่างที่ไม่มีกฎหมาย ดูแล
นอ.(พิเศษ)นพ.อิทธ พร คณะเจริญ ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา กล่าวว่า มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่า การบริการทางสาธารณสุขกว่า 180 ล้านครั้งต่อปี ซึ่งเป็นการบริการประชาชนเช่นกัน แต่มิได้อยู่บนความต้ องการค้ากำไรและแสวงหาหลอกลวงลูกค้า หากแต่เกิดขึ้นเพื่อบำบัดความทุกข์ประชาชนจากโรคภัยไข้เจ็บ ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจคือการรักษาพยาบาล มนุษย์นั้น ไม่สามารถตั้งมาตรฐานได้เช่นเดียวกับสินค้า ที่จะมีความเหมือนกัน เนื่องจากผลการรักษาพยาบาล มิได้ขึ้นกับตัวบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น ยังต้องขึ้นกับตัวบุคคล พฤติกรรม การดูแลสุขภาพ การบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ ยา และการปฏิบัติตามคำแนะนำต่าง ๆ ของผู้ป่วยแต่ละรายที่ไม่เท่าเทียมกัน ส่งผลต่อความสำเร็จในการรักษาพยาบาลทั้งสิ้น พ.ร.บ.นี้จะส่งผลกระทบต่อทั้งรัฐ และประชาชนอย่างมาก โดยมิได้คาดคิดมาก่อน ที่น่าจับตามองมีดังนี้ 1. กระบวนการตรวจ- รักษาเปลี่ยนไป เพื่อให้สอดคล้องที่จะเกิดความปลอดภัยของบุคลากรทางการแพทย์ จากตรวจตามความจำเป็น เป็นการตรวจทุกอย่างที่อาจเป็นได้ตามวิชาการ เช่น อาจต้องตรวจคอมพิวเตอร์ 1,000 ครั้ง เพื่อหาผู้ปวดศีรษะจากเนื้องอกสมอง 1 คน ถ้าใช้เงิน 3,000 บาทต่อคน รัฐเสียเงิน 3,000,000 บาท จากการปวดศีรษะ เพื่อให้ตรวจพบเนื้องอกสมอง 1 ราย ทั้งที่งบประมาณนี้รักษาเนื้องอกสมองได้เป็นร้อยคน 2. ประชาชนเสียหายมากขึ้นจากการที่เสียช่วงเวลาดีที่สุดในการรักษาจากการรอขั้น ตอนมากขึ้น ถูกตรวจมากขึ้นเพื่อป้องกันค ดี แต่ผลการรักษาอาจกลับแ ย่ลง ทางเลือกของแพท ย์คือการตรวจรักษาผู้ป่วยโรคไม่ซับซ้อนและโรคที่มีปัญหาในการ วินิจฉัยน้อยที่สุด กลุ่มผู้ป่วยซับซ้อนจึงจะต้องถูกส่งต่อเข้าโรงพยาบาลใหญ่ ที่เพียบพร้อมด้วยเครื่องมือ และแพทย์มากกว่า โดยนัยเพื่อ ประโยชน์สูงสุดของคนไข้เอง 3. แพทย์ตัดสินใจออกจากระบบที่ไม่ปลอดภัยง่ายขึ้น เนื่องจากต้องการความปลอดภัยที่ในภาครัฐให้ไม่ได้ หากต้องการกฎ หมายคุ้มครองประชาชน ด้านสุขภาพด้วยเกณฑ์ที่มากขึ้นในด้านใด เกี่ยวเนื่องระบบสาธารณสุขของประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องความเป็นความตายของชีวิตมนุษย์ที่ละเอียดอ่อน ควรต้องยกร่างที่ชัดเจน ให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมเสนอแนะวิจา รณ์หาจุดสมดุลของ ประเทศ ทั้งรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ เพราะกฎหมายเหล่านี้ย่อมพัวพันถึงงบประมาณของประเทศจำนวนมหาศาล การออกกฎหมายโดยไม่มีความเห็นใด ๆ เลยจากวงการแพทย์ ทั้งปลัดกระทรวงสาธารณสุข คณบดีคณะแพทยศาสตร์ผู้ผลิตแพทย์ แพทยสภา สภาการพยาบาล สภาเภสัช สภาทันตแพทย์ สภาเทคนิคการแพทย์ สภากายภาพบำบัดผู้ให้บริการทางการแพทย์ต่อสังคม และกระทรวงการคลังในฐานะผู้จ่ายเงินเพื่อหล่อเลี้ยงกระบวนการรักษาพยาบาลทั้ งระบบนั้น ย่อมเป็นการยากที่จะคาดเดาและหลีกเลี่ยงผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ได้ การนำการรักษาพยาบาลช่วยชีวิตคน ไปใช้รวมกับ พ.ร.บ.ควบคุมสินค้าฉ้อฉลหลอกลวงนั้น เป็นการคิดได้ยากว่ามาจากเจตนารมณ์และวิธีการคิดรูปแบบใด และจากการติดตามพบว่ายังไม่มีการใช้กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคมาฟ้องกับแพทย์ผ ู้ให้การรักษาพยาบาลในต่างประเทศมาก่อน ทุกที่ล้วนมีกฎหมายเฉพาะทั้งสิ้น เนื่องจากการรักษาพยาบาลมีความลึกซึ้งและละเอียดอ่อนมาก แต่ประเทศไทยอาจเป็นประเทศแรกในโลก วงการแพทย์ยังมีกฎหมายที่ดีมากอีกฉบับที่จะออกมาทับซ้อนกัน คือ ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการทางสาธารณสุข พ.ศ....โดยเน้ นการไกล่เกลี่ยสมานฉันท์แบบสันติวิธี และช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบเหล่านี้ แทนการฟ้องร้อง ร้องเรียน และปะทะกันในวงการแพทย์ ซึ่งอยู่ในขั้นคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค แม้จะมีผลที่เกิดประโยชน์ยอดเยี่ยม และใหญ่หลวงในการคุ้มครองประชาชน แต่เหมาะสมหรือไม่ กฎหมายฉบับใดที่ออกโดยไ ม่มีโอกาสฟัง ความเห็นผู้เกี่ยวข้องแท้จริง และออกในภาวะเร่งด่วน จำกัดด้วยเ วลา และมีการลงคะแนน ที่ไม่ครบองค์ประชุม และถูกประกาศใช้โดยไม่เข้าใจหรือถามไถ่ผู้อยู่ในระบบที่ให้รู้ถ่องแท้เสียก่ อน ย่อมมีโอกาสส่งผลกระทบที่มองไม่เห็นให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติได้ หลาย มิติ.
ที่มา : http://www.thaihealth.net/h/article695.html
|